เมนู

ผู้มีโชค ฉันเองก็จักพ้นจากมือชายเที่ยวไป
คนเดียว เหมือนนางนกพ้นจากข้อง ฉะนั้น.
[1064] เด็กทั้งหลายรู้จักดิบรู้จักสุก รู้จักเค็ม
และจืด ฉันเห็นข้อนั้นแล้วจึงบวช เธอจง
เที่ยวไปเพื่อภิกษาเถิด ฉันจะเที่ยวไปเพื่อ
ภิกษา.

จบ กุมภการชาดกที่ 3

อรรถกถากุมภการชาดกที่ 3



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การข่มกิเลสแล้ว ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า อมฺพาหมทฺทํ วนมนฺตรสฺมึ
ดังนี้. เรื่องจักมีแจ้งในปัญญาสชาดก.
ก็กาลครั้งนั้น ที่นครสาวัตถี สหาย 500 คน บวชแล้ว
พักอยู่ภายในโกฏิสัณฐาร ในเวลาเที่ยงคืนได้ตรึกถึงเรื่องกามวิตก.
พระศาสดา ทรงตรวจดูสาวกของพระองค์ทั้งคืนทั้งวัน 6 ครั้ง คือ
กลางคืน 3 ครั้ง กลางวัน 3 ครั้ง ทรงพิทักษ์รักษาเหมือนนกกะต้อยติวิด
รักษาไข่ จามรีรักษาขนหาง มารดารักษาลูกน้อยที่น่ารัก และเหมือน
คนตาข้างเดียว รักษาตาที่เหลืออยู่ ฉะนั้นเพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรง
ข่มกิเลสที่เกิดขึ้นของสาวกทั้งหลายในขณะนั้น. วันนั้น เวลาเที่ยงคืน

พระองค์กำหนดตรวจดูพระเชตวันอยู่ ทรงทราบวิตกของภิกษุเหล่านั้น
ฟุ้งขึ้น ทรงดำริว่า กิเลสนี้เมื่อฟุ้งขึ้นในภายในของภิกษุเหล่านี้. จักทำ
ลายเหตุแห่งอรหัตผลเสีย เราตถาคตจักข่มกิเลสแล้วมอบให้ซึ่งอรหัตผล
แก่ภิกษุเหล่านั้นเดี๋ยวนี้แหละ. แล้วเสด็จออกจากพระคันธกุฎี รับสั่งให้
หาพระอานนท์เถระมาแล้วตรัสสั่งให้ประชุมว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจง
ให้ภิกษุผู้อยู่ภายในโกฏิสัณฐารทั้งหมดประชุมกัน. เสด็จประทับนั่งบน
พุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ควร
เป็นไปในอำนาจของกิเลสที่เป็นไปแล้วในภายใน ด้วยว่ากิเลสเมื่อเจริญ
ขึ้น ย่อมให้ถึงความพินาศมา เหมือนปัจจามิตร. ธรรมดาภิกษุ กิเลส
แม้มีประมาณเล็กน้อยก็ควรข่มไว้. บัณฑิตในกาลก่อน เห็นอารมณ์
ประมาณเล็กน้อย ก็ข่มกิเลสที่เป็นไปแล้วในภายในไว้ให้ปัจเจกโพธิ-
ญาณเกิดขึ้น แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในตระกูลช่างหม้อ ในหมู่บ้านใกล้
ประตูนครพาราณสี เจริญวัยแล้วได้ครอบครองสมบัติ มีบุตรชาย
1 คน บุตรหญิง 1 คน เลี้ยงบุตรภรรยาโดยอาศัยการทำหม้อ. ใน
กาลครั้งนั้น พระราชาทรงพระนามว่า กรกัณฑะ ในทันตปุรนคร
แคว้นกลิงคะมีพระราชบริพารมาก เมื่อเสด็จไปพระราชอุทยาน ทอด.
พระเนตรเห็นต้นมะม่วงใกล้ประตูพระราชอุทยาน มีผลน่าเสวย เต็มไป
ด้วยผลเป็นพวง ประทับบนคอช้างต้นนั้นเอง ทรงเหยียดพระหัตถ์ออก

ไปเก็บผลมะม่วงพวกหนึ่ง แล้วเสด็จเข้าไปพระราชอุทยาน ประทับนั่ง
บนมงคลสิลาอาสน์ พระราชทานแก่คนที่ควรพระราชทาน แล้ว
จึงเสวยผลมะม่วง. จำเดิมแต่เวลาที่พระราชาทรงเก็บผลมะม่วงแล้ว
ตามธรรมดาคนที่เหลือทั้งหลาย ก็ต้องพากันเก็บเหมือนกัน ดังนั้น
อำมาตย์บ้าง พราหมณ์และคหบดีบ้าง จึงพากันเขย่าผลมะม่วงให้หล่น
แล้วรับประทานกัน. ผู้ที่มาหลัง ๆ ก็ขึ้นต้นใช้ไม้ค้อนฟาดทำให้กิ่งหัก
ทะลายลงกินกัน แม้แต่ผลดิบ ๆ ก็ไม่เหลือ. ฝ่ายพระราชาทรงกรีฑา
ในพระราชอุทยานตลอดทั้งวันแล้ว ตอนเย็นเมื่อทรงประทับนั่งบน
คอช้างต้นที่ตกแต่งแล้ว เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงนั้นจึง
เสด็จลงจากคอช้างแล้วเสด็จไปที่โคนต้นมะม่วง ทรงมองดูลำต้นพลาง
ทรงดำริว่า ต้นมะม่วงต้นนั้นเมื่อเช้านี้เอง เต็มไปด้วยผลเป็นพวงสง่างาม
ทำความอิ่มตาให้แก่ผู้ดูทั้งหลายยืนต้นอยู่ บัดนี้ เขาเก็บผลหมดแล้ว
หักห้อยรุ่งริ่งยืนต้นอยู่ไม่งาม เมื่อทรงมองดูต้นอื่นอีกได้ทรงเห็นต้น
มะม่วงต้นอื่นที่ไม่มีผลแล้ว ประทับยืนที่ควงไม้นั่นเอง ทรงทำต้นมะม่วง
มีผลให้เป็นอารมณ์ว่า ต้นไม้ต้นนั้นยืนต้นสง่างามเหมือนภูเขาแก้วมณี-
โล้น เพราะตัวเองไม่มีผล ส่วนมะม่วงต้นนี้ถึงความย่อยยับอย่างนี้เพราะ
ออกผล แม้ท่ามกลางเรือนนี้ ก็เช่นกันกับต้นมะม่วงที่ออกผล ส่วนการ
บรรพชาเป็นเช่นกับต้นไม้ที่ไม่มีผล ผู้มีทรัพย์นั้นแหละมีภัย ส่วนผู้ไม่
มีทรัพย์ไม่มีภัย แม้เราก็ควรเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีผลดังนี้แล้ว ทรง
กำหนดการลักษณ์เจริญวิปัสสนายังปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้นแล้ว ทรง

รำลึกอยู่ว่า บัดนี้ เราทำลายกระท่อมคือท้องของมารดาแล้ว. การปฏิสนธิ
ในภพทั้ง 3 เราตัดขาดแล้ว. ส้วมแหล่งอุจจาระ คือสงสารเราล้างแล้ว.
ทะเลน้ำตาเราวิดแห้งแล้ว. กำแพงกระดูกเราพังแล้ว. เราจะไม่มีการ
ปฏิสนธิอีกดังนี้ ได้ทรงแต่งองค์ด้วยเครื่องประดับทั้งหมดประทับยืนอยู่
แล้ว. จึงอำมาตย์ทั้งหลายได้ทูลพระองค์ว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์
เสด็จประทับยืนนานเกินไปแล้ว.
รา. เราไม่ใช่พระราชา แต่เราเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า.
อำ. ข้าแต่สมมติเทพ ธรรมดา พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
จะไม่เป็นเช่นกับด้วยพระองค์.
รา. ถ้าเช่นนั้นเป็นอย่างไร ?
อำ. โกนผมโกนหนวด ปกปิดร่างกายด้วยผ้ากากาวพัสตร์มี
ส่วนเปรียบเทียบด้วยดวงจันทร์ที่พ้นจากปากพระราหู พำนักอยู่ที่เงื้อม
นันทมูลในป่าหิมพานต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นนี้.
ในขณะนั้น พระราชาทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระเกษา. ในทัน
ทีนั้นเอง เพศคฤหัสถ์ก็อันตรธานไป เพศสมณะก็ปรากฏขึ้น สมณ-
บริขารทั้งหลายที่พระองค์ตรัสถึงอย่างนี้ว่า :-
ไตรจีวร บาตร มีดโกน เข็ม รัดประคตพร้อมด้วยกระบอก
กรองน้ำ 8 อย่างเหล่านี้ เป็นบริขารของภิกษุผู้ประกอบความเพียร

ได้ปกปิดพระกายของพระองค์ทันที. พระองค์ประทับที่อากาศประทาน
พระโอวาทแก่มหาชนแล้ว ได้เสด็จไปสู่เงื้อมนันทมูลนั่นแหละ.
ฝ่ายพระราชาทรงพระนามว่านัคคชิ ในนครตักกศิลา ที่
แคว้นคันธาระ เสด็จไปที่ท่ามกลางพระราชบัลลังก์ เบื้องบนปราสาท
ทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่ง ในมือแต่ละข้างประดับกำไลแก้วมณี
คือหยก ข้างละอันนั่งบดของหอมอยู่ไม่ไกล ประทับนั่งทอดพระเนตร
พลางดำริว่า กำไลแก้วมณี คือหยกเหล่านั้นไม่กระทบกัน ไม่มีเสียงดัง
เพราะเป็นข้างละอัน คือแยกกันอยู่. ภายหลังนางเอากำไลแขนจาก
ข้างขวามาสวมไว้ที่ข้างซ้ายรวมกัน แล้วเริ่มเอามือขวาดึงของหอมมาบด.
กำไลแก้วมณีคือหยกที่มือซ้ายมากระทบกำไลข้างที่ 2 จึงมีเสียงดังขึ้น.
พระราชาทอดพระเนตรเห็นกำไลแขนทั้ง 2 ข้างเหล่านั้นกระทบกัน
อยู่มีเสียงดัง จึงทรงดำริว่า กำไลแขนนี้เวลาอยู่ข้างละอันไม่กระทบกัน
แต่อาศัยข้างที่ 2 กระทบกันก็มีเสียงดังฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลายเหล่า
นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แต่ละคน ๆ ไม่กระทบกัน ก็ไม่ส่งเสียง แต่พอ
มี 2, 3 คนขึ้นไปก็กระทบกันทำการทะเลาะกัน. ส่วนเราวิจารณ์
ราษฎรในราชสมบัติ 2 แห่ง ในกัสมิระและคันธาระ เราควรจะเป็น
เหมือนกำไลแขนข้างเดียว ไม่วิจารณ์คนอื่น วิจารณ์ตัวเองเท่านั้น
อยู่ ดังนี้แล้ว ทรงทำการกระทบกันแห่งกำไลให้เป็นอารมณ์แล้ว
ทั้ง ๆ ที่ทรงนั่งอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสนา

แล้วยังปัจเจกโพธิญาณให้เกิด. ข้อความที่เหลือเป็นเช่นกับข้อความแต่
ก่อนนั่นแหละ.
ที่มิถิลานครในวิเทหรัฐ พระเจ้านิมิราช เสวยพระกระยาหาร
เช้าแล้ว มีคณะอำมาตย์แวดล้อม ได้ประทับยืนทอดพระเนตรระหว่าง
ถนน ทางสีหบัญชรที่เปิดไว้. ครั้งนั้น เหยี่ยวตัวหนึ่ง คาบเอาชิ้นเนื้อ
จากเขียงที่ตลาดแล้วบินขึ้นฟ้าไป. นกทั้งหลายมีแร้งเป็นต้น บินล้อม
เหยี่ยวตัวนั้น ข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง ใช้จะงอยปากจิกใช้ปีกตี ใช้
เท้าเฉี่ยวไป เพราะเหตุแห่งอาหาร. มันทนการรังแกตนไม่ไหว จึงทิ้ง
ก้อนเนื้อก้อนนั้นไป. นกตัวอื่นก็คาบเอาเนื้อก้อนนั้นไป. นกเหล่าอื่น
ก็พากันละเหยี่ยวตัวนี้ติดตามนกตัวนั้นไป. ถึงนกตัวนั้นปล่อยแล้ว
ตัวอื่นก็คาบไป นกทั้งหลายก็พากันรุมตีนกแม้ตัวนั้นอย่างนั้นเหมือนกัน
พระราชาทรงเห็นนกเหล่านั้นแล้ว ทรงดำริว่า นกตัวใด ๆ คาบก้อนเนื้อ
นกตัวนั้น ๆ นั่นแหละมีความทุกข์ ส่วนนกตัวใด ๆ ทิ้งสละก้อนเนื้อนั้น
ทิ้ง นกตัวนั้น ๆ นั่นแหละมีความสุข. แม้กามคุณทั้ง 5 เหล่านี้ ผู้ใด ๆ
ยึดถือไว้ ผู้นั้น ๆ นั่นแหละ มีความทุกข์ ส่วนผู้ไม่ยึดถือนั่นแหละ
มีความสุข เพราะว่ากามเหล่านี้ เป็นของสาธารณะสำหรับคนจำนวนมาก.
ก็แล เรามีหญิงหมื่นหกพันนาง เราควรจะละกามคุณทั้ง 5 แล้วเป็น
สุขเหมือนเหยี่ยวตัวที่ทิ้งก้อนเนื้อฉะนั้น. พระองค์ทรงมนสิการโดย
แยบคายอยู่ทั้ง ๆ ที่ทรงนั่งอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดไตรลักษณ์ เจริญ

วิปัสสนาแล้วยังปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้น. ข้อความที่เหลือเป็นเช่นกับ
ข้อความแต่ก่อนนั่นแหละ.
แม้ในแคว้นอุตตรปัญจาละในกปิลนคร พระราชาทรงพระนามว่า
ทุมมุขะ เสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ทรงประดับเครื่องอลังการ
พร้อมสรรพ มีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม ได้ประทับยืนทอดพระเนตรพระ
ลานหลวงทางสีหบัญชรที่เปิดไว้. ในขณะนั้นคนเลี้ยงวัวทั้งหลายต่าง
ก็เปิดประตูคอกวัว. พวกวัวตัวผู้ออกจากคอก แล้วก็ติดตามวัวตัวเมียตัว
หนึ่งด้วยอำนาจกิเลส. ในจำนวนวัวเหล่านั้น โคถึกใหญ่ตัวหนึ่งเขาคม
เห็นวัวตัวผู้อื่นกำลังเดินมา มีความเห็นแก่ตัว คือหึงด้วยอำนาจกิเลส
ครอบงำจึงใช้เขาแหลมขวิดที่ระหว่างขา. ไส้ใหญ่ทั้งหลายของวัวตัวนั้น
ทะลักออกมาทางปากแผล มันถึงความสิ้นชีวิต ณ ที่นั้นนั่นเอง พระราชา
ทรงเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว ทรงดำริว่า สัตวโลกทั้งหลายตั้งต้นแต่สัตว์
เดียรัจฉานไปถึงทุกข์ด้วยอำนาจกิเลส วัวผู้ตัวนี้อาศัยกิเลสถึงความสิ้น
ชีวิต สัตว์แม้เหล่าอื่นก็หวั่นไหว เพราะกิเลสทั้งหลายนั่นเอง เราควร
จะประหารกิเลสที่เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายหวั่นไหว. พระองค์ประทับ
ยืนอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดไตรลักษณ์เจริญวิปัสสนา แล้วยังปัจเจก
โพธิญาณให้เกิดขึ้น. ข้อความที่เหลือ เหมือนกับข้อความในตอนก่อน
นั่นเอง.
อยู่มาวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 4 องค์เหล่านั้นกำหนด
เวลาภิกขาจารแล้ว ก็เสด็จออกจากเงื้อมนันทมูลทรงเคี้ยวไม้ชำระฟัน

นาคลดา ที่สระอโนดาด ทรงทำการชำระพระวรกายแล้ว ประทับยืน
บนพื้นมโนศิลา ทรงนุ่งสบงแล้วถือเอาบาตรและจีวร เหาะขึ้นไปบน
อากาศด้วยฤทธิ์ ทรงย่ำเมฆ 5 สีไปแล้ว เสด็จลง ณ ที่ไม่ไกล
หมู่บ้านใกล้ประตูนครพาราณสี ทรงห่มจีวรในที่สำราญแห่งหนึ่ง ทรง
ถือบาตรเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านใกล้ประตูเมือง เที่ยวบิณฑบาต ลุถึงประตู
บ้านพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เห็นพระปัจเจกเหล่านั้นแล้วดีใจ
นิมนต์ให้ท่านเข้าไปในบ้านให้นั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้ว ถวายทักขิโนทก
อังคาสด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่งไหว้พระ
สังฆเถระแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การบรรพชาของ
พระองค์ทั้งหลายงามเหลือเกิน อินทรีย์ทั้งหลายของพระองค์ผ่องใส
ฉวีวรรณก็ผุดผ่อง พระองค์ทรงเห็นอารมณ์อะไรหนอจึงทรงเข้าถึง
การบรรพชาด้วยอำนาจภิกขาจารวัตร และได้เข้าไปทูลถามพระเถระแม้
ที่เหลือเหมือนทูลถามพระสังฆเถระ. จึงท่านทั้ง 4 เหล่านั้น ได้ตรัส
บอกเรื่องการออกบวชของตน ๆ แก่พระโพธิสัตว์นั้นโดยนัยมีอาทิว่า
อาตมภาพเป็นพระราชาชื่อโน้น ในนครโน้น ในแคว้นโน้น แล้ว
ได้ตรัสคาถาองค์ละ 1 คาถาว่า :-
อาตมภาพได้เห็นต้นมะม่วง ที่งอกงาม
ออกผลเขียวไปทั้งต้น ในระหว่างป่ามะม่วง
เมื่อกลับออกมา ได้เห็นมะม่วงต้นนั้นหักย่อย

ยับ เพราะผลของมันเป็นเหตุ ครั้นเห็นแล้ว
อาตมภาพจึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร.
หญิงสาวคนหนึ่งสวมกำไลแขนหินหยก
เกลี้ยงกลมคู่หนึ่ง ที่นายช่างผู้ชำนาญเจียรไน
แล้ว ไม่มีเสียงดัง แต่เพราะอาศัยกำไลแขน
ข้างทั้ง 2 จึงมีเสียงดังขึ้น อาตมภาพได้เห็น
เหตุนั้นแล้ว จึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร.
นกจำนวนมากพากันบินตามรุมล้อม ตี
จิกนกตัวหนึ่งที่กำลังนำก้อนเนื้อมา เพราะ
อาหารเป็นเหตุ อาตมภาพได้เห็นเหตุนั้นแล้ว
จึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร.
อาตมภาพได้เห็นวัวตัวผู้ตัวหนึ่ง ท่าม
กลางฝูงมีหนอกขึ้นเปลี่ยว ประกอบด้วยสีสวย
และมีกำลังมาก ได้เห็นมันขวิดวัวตัวหนึ่งตาย
เพราะกามเป็นเหตุ ครั้นได้เห็นเหตุนั้นแล้ว
จึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมฺพาหมทฺทํ ความว่า อาตมภาพ
ได้เห็นต้นมะม่วงแล้ว. บทว่า วนมนฺตรสฺมึ ความว่า ในระหว่าง
ป่า อธิบายว่า ท่ามกลางป่ามะม่วง. บทว่า สํวิรูฬฺหํ ความว่า เจริญ
ดีแล้ว. บทว่า ตมทฺทสํ ความว่า เมื่อออกไปจากพระราชอุทยาน
อาตมภาพได้เห็นมะม่วงต้นนั้นอีกหักย่อยยับ เพราะผลเป็นต้นเหตุ.
บทว่า ตํ ทิสฺวา ความว่า ครั้นเห็นมะม่วงต้นนั้นหักย่อยยับ เพราะผลเป็น
ต้นเหตุแล้ว อาตมภาพได้ความสังเวชใจ ยังปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้น
แล้วได้เข้าถึงการบรรพชา ด้วยอำนาจภิกขาจาริยวัตร เพราะฉะนั้น
อาตมภาพจึงประพฤติภิกขาจาริยวัตร. ท่านบอกวารจิตทุกอย่างนี้ จำเดิม
แต่การเห็นต้นมะม่วงหักย่อยยับ เพราะผลเป็นเหตุ. แม้ในคำตอบของ
พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหลือ ก็มีนัยนั้นเหมือนกัน. แต่ในคำตอบนี้
มีอรรถกถาคำที่ยาก ดังต่อไปนี้. บทว่า เสลํ ได้แก่กำไลแขนแก้วมณี
หยก. บทว่า นรวีรุนิฏฺฐิตํ ความว่า ที่นรชนผู้ประเสริฐ คือช่างทั้งหลาย
เจียระไนแล้ว. อธิบายว่า ที่คนผู้ฉลาดทั้งหลายทำแล้ว. บทว่า ยุคํ
ได้แก่กำไลแขนคู่หนึ่งโดยทำข้างละอัน. บทว่า ทิชา ทิชํ ความว่า
นกที่เหลือก็รุมจิกตีนกตัวที่คาบชิ้นเนื้อไป. บทว่า กุณปมาหรนฺตํ ความว่า
นำเอาก้อนเนื้อไป. บทว่า สเมจฺจ ความว่า มารวมกัน คือชุมนุมกัน.
บทว่า ปริปาตยึสุ ความว่า ติดตามจิกตี. บทว่า อุสภาหมทฺทํ
ความว่า อาตมภาพได้เห็นอสุภะ. บทว่า วลกฺกกุํ ได้แก่มีหนอก
สวยงาม.

พระโพธิสัตว์ครั้นได้สดับคาถาแต่ละคาถา ได้ทำการสดุดีพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอ
โอกาส อารมณ์นั่นเหมาะสมสำหรับเหล่าข้าพระองค์ทีเดียว. ก็แล
พระโพธิสัตว์ครั้นสดับธรรมกถานั้น ที่ท่านทั้ง 4 ทรงแสดงแล้ว เป็น
ผู้ไม่มีเยื่อใยในฆราวาส เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จไปแล้ว
รับประทานอาหารเช้าแล้ว นั่งสำราญอยู่ ได้เรียกภรรยามาพูดว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้า 4 องค์นี้ สละราชสมบัติออกผนวชไม่มีกังวล ไม่มี
ห่วงใยให้กาลเวจาล่วงไปด้วยความสุขเกิดจากการบรรพชา ส่วนเราเลี้ยง
ชีพด้วยค่าจ้าง เราจะประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือน เธอจง
สงเคราะห์คือเลี้ยงดูลูกอยู่ในบ้านเกิด แล้วกล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
พระราชาเหล่านี้คือ พระเจ้ากรกัณฑะ
ของชาวคลิงคะ 1 พระเจ้านัคคชิของชาว
คันธาร 1 พระเจ้านิมิราชของชาววิเทหะ 1
พระเจ้าทุมมุขะของชาวปัญจาละ 1 ทรงละ
แว่นแคว้นออกผนวช หาความห่วงใยมิได้.
พระราชาเหล่านี้ แม้ทุกพระองค์ เสมอ
ด้วยเทพเจ้าเสด็จมาพบกัน ย่อมสง่างามเหมือน
ไฟลุกฉะนั้น ดูก่อนนางผู้มีโชค แม้เราก็

ละกามทั้งหลายทิ้งแล้ว ดำรงอยู่ตามส่วนของ
ตนเที่ยวไปคนเดียว.

คาถาเหล่านั้นมีเนื้อความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระปัจเจก-
พุทธเจ้าผู้เป็นสังฆเถระนั้น เป็นพระราชาแห่งชนบทของชาวคันธาระ
ทรงพระนามว่า กรกัณฑะในนครชื่อว่า ทันตปุระ องค์ที่ 2 เป็น
พระราชาแห่งชนบทของชาวคันธาระ ทรงพระนามว่า นัคคชิ ใน
ตักกศิลานคร องค์ที่ 3 เป็นพระราชาแห่งชนบทของชาววิเทหะ ทรง
พระนามว่านิมิราชา ในนครมิถิลา องค์ที่ 4 เป็นพระราชาแห่งชนบท
ของชาวอุตตรปัญจาละ ทรงพระนามว่า ทุมมุขะ ในนครกบิล. พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงละแคว้นทั้งหลายเห็นปานนี้แล้วเป็นผู้ไม่
มีความห่วงใยทรงผนวชแล้ว. บทว่า สพฺเพปิเม ความว่า ก็
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้ แม้ทั้งหมด ทรงเป็นผู้เสมอด้วยพระปัจเจก
พุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนผู้เป็นวิสุทธิเทพ เสด็จมารวมกันแล้ว.
บทว่า อคฺคี ยถา ความว่า ไฟที่ลุกโชนแล้ว ย่อมสง่างามฉันใด.
บทว่า ตเถวิเม ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแม้เหล่านี้ ย่อม
สง่างามด้วยคุณธรรมทั้งหลายมีศีลเป็นต้น ฉันนั้นเหมือนกัน อธิบายว่า
แม้เราก็จักบวชเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น. นาย
ช่างหม้อเรียกภรรยาว่า ภัคควี. บทว่า หิตฺวาน กามานิ ความว่า
ละวัตถุกามทั้งหลายมีรูปเป็นต้น. บทว่า ยโถธิกานิ ความว่า ดำรง
อยู่แล้วด้วยสามารถแห่งแนวทางของตน ๆ มีคำอธิบายว่า แม้เราครั้น

ละวัตถุกามทั้งหลาย ตามที่ตั้งอยู่นั่นเอง ด้วยสามารถแห่งส่วนมีรูป
เป็นต้น แล้วก็จักบวชเที่ยวไปผู้เดียว. ปาฐะว่า ยโตธิกานิ ดังนี้ก็มี
เนื้อความของปาฐะนั้นว่า กามทั้งหลายมีส่วนที่สำรวมแล้ว คือเว้นแล้ว
ได้แก่มีส่วนที่เว้นแล้ว. บทว่า ปพฺพชิสฺสามิ ความว่า เพราะว่า
ส่วน ๆ หนึ่งแห่งกิเลสกามทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นสิ่งที่เว้นแล้ว จำเดิมแต่
เวลาที่คิดแล้ว. แม้ส่วนของกามที่เป็นวัตถุของเขาที่ดับไปแล้ว ก็เป็น
อันเขาเว้นแล้วเหมือนกัน.
ภรรยานั้นครั้นได้ฟังถ้อยคำของเขาแล้ว จึงพูดว่า ข้าแต่นาย
ตั้งแต่เวลาได้ฟังธรรมกถาของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว แม้ฉันเองใจก็
ไม่สถิตอยู่ในบ้าน แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า :-
เวลานี้เท่านั้น เวลาอื่นนอกจากนี้จะไม่
มีเลย ภายหลังคงไม่มีผู้พร่ำสอนฉัน ข้าแต่
ท่านผู้มีโชค ฉันเองก็จักพ้นจากมือชายเที่ยว
ไปคนเดียว เหมือนนางนกพ้นจากข้อง ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุสาสิโต เม น ภเวยฺย ปจฺฉา
ความว่า ภรรยาชี้แจงว่า ผู้พร่ำสอนคือผู้ตักเตือนคงไม่มี เพราะผู้
ตักเตือนหาได้ยาก เพราะฉะนั้น เวลานี้เท่านั้นเป็นเวลาบวช เวลาอื่น
ไม่มีแล้ว. บทว่า สกุณีว มุตฺตา ความว่า เมื่อนางนกทั้งหลายถูก

พรานนกจับได้ โยนใส่ข้องนก นางนกตัวหนึ่งที่หลุดจากมือของพราน
นกตัวนั้นจะเผ่นออกไปกลางหาวไปสู่ที่ตามชอบใจ แล้วบินไปตามลำพัง
ตัวเดียวฉันใด แม้ฉันก็ฉันนั้น พ้นจากมือของท่านแล้ว จักเที่ยวไปคน
เดียว เพราะฉะนั้น นางเป็นผู้ประสงค์จะบวชเอง จึงได้กล่าวอย่างนี้.
พระโพธิสัตว์ครั้นได้ฟังคำของนางแล้ว ได้นิ่งอยู่. ส่วนนางประสงค์
จะลวงพระโพธิสัตว์แล้วบวชก่อน จึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย ฉันจักไปท่า-
น้ำดื่ม ขอให้ท่านจงดูเด็ก คือลูกไว้ แล้วจึงถือเอาหม้อน้ำที่ทำเป็นเหมือน
เดินไปท่าน้ำแล้วหนีไป ถึงสำนักของพวกดาบสที่ใกล้นครแล้วก็บวช.
พระโพธิสัตว์ทราบว่า นางไม่มาจึงเลี้ยงเด็กเอง. ต่อมาเมื่อเด็กเหล่านั้น
เติบโตขึ้นหน่อยหนึ่ง ถึงความเป็นผู้สามารถรู้ความเจริญ เละความเสื่อม
ของตน คือดีชั่วแล้ว เพื่อจะทดลองเด็กเหล่านั้น วันหนึ่งพระโพธิสัตว์
เมื่อหุงข้าวสวย ได้หุงดิบไปหน่อย วันหนึ่งแฉะไปหน่อย วันหนึ่งไหม้
วันหนึ่งปรุงอาหารจืดไป วันหนึ่งเค็มไป. เด็กทั้งหลายพูดว่า วันนี้
ข้าวดิบ วันนี้แฉะ วันนี้ไหม้ วันนี้จืด วันนี้เค็มไป. พระโพธิสัตว์
พูดว่า ลูกเอ๋ยวันนี้ข้าวดิบ แล้วคิดว่า บัดนี้ เด็กเหล่านี้รู้จักดิบ สุก
จืดและเค็มจัดแล้ว จักสามารถเลี้ยงชีพตามธรรมดาของตน เราควรจะ
บวชละ. ต่อมาท่านได้มอบเด็กเหล่านั้นให้พวกญาติพูดว่า ดูก่อนพ่อและ
แม่ ขอจงเลี้ยงเด็กเหล่านี้ให้ดีเถิด แล้วเมื่อพวกญาติกำลังโอดครวญอยู่
นั่นเองได้ออกจากพระนครไปบวชเป็นฤาษีอยู่ใกล้ ๆ พระนครนั่นเอง.
อยู่มาวันหนึ่ง นางปริพาชิกา คือภริยาเก่า ได้เห็นท่านกำลังเที่ยว

ภิกขาจารในนครพาราณสี ไหว้แล้วจึงพูดว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า ท่าน
เห็นจะให้เด็กคือลูกทั้งหลายพินาศแล้ว. พระมหาสัตว์ ตอบว่า เราไม่
ได้ให้เด็ก คือลูกพินาศ ออกบวชในเวลาที่พวกเขาสามารถรู้ความเจริญ
และความเสื่อม คือดีชั่วของตนแล้ว เธออย่าคิดถึงพวกเขา จงยินดี
ในการบวชเถิด แล้วได้กล่าวคาถาสุดท้ายว่า :-
เด็กทั้งหลายรู้จักดิบ รู้จักสุก รู้จักเค็ม
และจืด ฉันเห็นข้อนั้นแล้วจึงบวช เธอจง
เที่ยวไปเพื่อภิกษาเถิด ฉันก็จะเที่ยวไปเพื่อ
ภิกษา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมหํ ความว่า เราเห็นกิริยาของ
เด็กเหล่านั้นแล้วจึงบวช. บทว่า เจเรว ตฺวํ จรามิหํ ความว่า แม้ท่าน
ก็จงเที่ยวไปเพื่อภิกขาจารเถิด ข้าพเจ้าก็จักเที่ยวไปเพื่อภิกขาจาร.
พระโพธิสัตว์ตักเตือนปริพาชิกา ด้วยประการอย่างนี้แล้ว ก็ส่ง
ตัวไป. ฝ่ายปริพาชิการับโอวาทไหว้พระมหาสัตว์แล้ว จึงไปสู่สถานที่
ตามที่ชอบใจ. ได้ทราบว่านอกจากวันนั้นแล้ว ทั้ง 2 ท่านนั้นก็ไม่ได้
พบเห็นกันอีก. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ให้ฌานและอภิญญาเกิดขึ้นแล้ว ได้
เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ได้ทรงประ-
กาศสัจธรรมทั้งหลายประชุมชาดกไว้ว่า ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุ
500 รูป ดำรงอยู่แล้วในอรหัตผล. ธิดาในครั้งนั้นได้แก่ อุบลวรรณา-
เถรีในบัดนี้ บุตรได้แก่พระราหุลเถระ ปริพาชิกา ได้แก่มารดาพระ-
ราหุลเถระ ส่วนปริพาชก คือเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถากุมภการชาดกที่ 3

4. ทัฬหธัมมชาดก



ว่าด้วยความกตัญญู



[1065] ก็ฉันเมื่อนำพาราชกิจของพระเจ้าทัฬห-
ธรรม ได้คาดลูกศรไว้ที่หน้าอก มีปกติประ
พฤติความกล้าหาญในการรบ ก็ไม่ยังพระองค์
ให้โปรดปรานได้.
[1066] พระราชาไม่ทรงทราบความเพียรของลูก
ผู้ชายของฉันและการสื่อสาร ที่ฉันทำได้อย่างดี
ในสงคราม เป็นแน่.
[1067] ฉันนั้นไม่มีพวกพ้อง ไม่มีที่พึ่ง จักตาย
แน่ ๆ มีหนำซ้ำพระราชายังได้พระราชทานฉัน
แก่ช่างหม้อ ให้เป็นผู้ขนมูลสัตว์โคมัย.
[1068] คนยังมีหวังอยู่ตราบใด ตราบนั้นก็ยัง
คบหากันอยู่ เมื่อเขาเสื่อมจากประโยชน์ คน
โง่ทั้งหลาย ก็จะทอดทิ้งเขา เหมือนขัตติยราช
ทรงทอดทิ้งช้างพังต้นฉะนั้น.